มารู้จักรสชาติของกาแฟแต่ละทวีปกัน

มารู้จักรสชาติของกาแฟแต่ละทวีปกัน

รสชาติของกาแฟจากประเทศอื่นเป็นยังไงบ้างนะ?”

HIGHLIGHT : 

    • – ฺกาแฟจากทวีปแอฟริกานั้นโดยรวมแล้วจะมีความเปรี้ยวสูง บอดี้น้อย มีความหอมมาก และมีความหวานที่มากเช่นกันครับ สาวกกาแฟสาย Filter ต้องมาโดนกัน
    • – กาแฟในโซนอเมริกาใต้ เหมาะกับผู้หัดดื่ม Single Origin เพราะส่วนมากจะเปรี้ยวน้อย รสชาติ กลม ๆ ดื่มง่าย
    • ถึงแม้เยเมนจะอยู่ในทวีปเอเชียตะวันออกกลาง แต่สำหรับกาแฟแล้วจะจัดอยู่ในโซนแอฟริกา

 _____________________________

ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงสงสัยกันมั่งหล่ะครับ ว่านอกจากประเทศไทยแล้ว ที่ไหนเค้าปลูกกาแฟกันบ้าง จริง ๆ แล้ว มีหลายที่ทั่วโลกครับ ผมขอแบ่งออกเป็นโซนใหญ่ ๆ ทั้งหมด 5 โซนและยกตัวอย่างประเทศที่นิยมในแต่ละโซนทวีปนั้น ๆ  ซึ่ง Taste กาแฟที่ผมจะพูดถึงส่วนใหญ่จะเป็นกาแฟในเกรดที่เรียกกันว่า Commercial Grade นะครับ ซึ่ง หากเป็น กาแฟ Specialty Grade นั้น อาจจะมีรสชาติโดดเด่นขึ้น หรือ พิเศษจนไม่มีกลิ่นอายของ Commercial Grade ตามประเทศถิ่นกำเนิดตนเองเลยครับ

 

1. โซนทวีปแอฟริกา

          โซนนี้โดยรวมแล้วจะมี Acidity ค่อนข้างสูง หรือที่เราเรียกกันว่าเปรี้ยวนั่นเอง แต่จะเป็นเปรี้ยวแบบกรดผลไม้นะครับ บอดี้ค่อนข้างน้อยแต่มีรสหวานฉ่ำมาก Aroma จะหอมพุ่งสุดๆ ไปเลย

          ในโซนนี้ ประเทศที่ผมไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ กาแฟจาก Ethiopia ครับ เอธิโอเปียถือเป็นที่แรกๆ ของโลกเลยที่ปลูกกาแฟ และกาแฟเป็นพืชพื้นเมืองของที่นี่ครับ โดยส่วนมากจะใช้ชื่อสายพันธ์ หรือ Varietals ว่า Heirloom ที่นี่ปลูกกาแฟกันหลายเมืองมากๆ ส่วนใหญ่จะมีด้วยกันอยู่ 2 Process คือ Washed และ Natural สำหรับใครที่กำลังเริ่มดื่ม Single Origin จากต่างประเทศ และต้องการเปิดโลกกาแฟในมุมมองใหม่ๆ ผมขอแนะนำ Ethiopia เมือง Yirgacheffe ผลิตแบบ Washed Process ส่วนตัวแล้วกาแฟตัวนี้เป็นตัวที่ต้องลองเลย กาแฟจะเปรี้ยวผลไม้โทน Lemon หรือ Orange กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ และหวานสุด ๆ พอทานแล้ว ต้องพูดกันเลยว่า “เห้ย! นี่มันกาแฟจริงๆ หรือนี่” ยิ่งช๊อตตอนน้ำลายสอของเราไปโดน Acidity ของกาแฟแล้วหล่ะก็ “แม่เจ้าโว้ย หวานเจี๊ยบบ” ส่วน Natural Process ก็เจ๋งไม่แพ้กัน Body จะเพิ่มมากขึ้นและ Acidity ที่ได้ จะเป็น พวก Berry Tone อย่างเช่น Strawberry, Cherry, Blueberry ด้วย Aicidity แบบนี้ Mouth Feel ของเรา จะนวลปากมาก ๆ ครับ ยิ่งตอนทำ ช๊อต Espresso หรือ Ristretto มาใช้ในเมนู Latte หรือ Cappucino ผู้ดื่มอาจจะรู้สึกได้ว่า “นี่มันโยเกิร์ต ผลไม้ชัด ๆ”

          อีกประเทศนึงที่ผมอยากแนะนำ เป็นกาแฟจาก Kenya ครับ กาแฟของที่นี่ มาตรฐานในการผลิตถือว่าสูงเลย เด็ดทุกที่ และมีความนิ่งในการผลิต เมล็ดค่อนข้างใหญ่ ราคาก็ค่อนข้างสูงกว่าหลายๆ ประเทศ กาแฟจะมี Acidity ที่หนักแน่น ถ้าเป็นส้ม ก็ส้มคุณภาพดี ๆ ไม่ใช่แบบส้มจี๊ด เปรี้ยวปี๊ดป๊าดซะอย่างเดียว แต่จะอารมณ์แบบส้มสายน้ำผึ้ง หรือ ส้มแมนดาริน ที่เปรี้ยวอมหวาน กาแฟ Kenya ที่หลาย ๆ คนชอบก็เพราะว่า เป็นกาแฟ โซน Africa ที่ Taste ครบรสกว่าแหล่งอื่นในโซนเดียวกัน และ Body ดี เทียบเคียงกับ โซน Central America ได้เลย

          ส่วนกาแฟจากแหล่งสุดท้ายที่จะยกตัวอย่างในโซนทวีปนี้ คือ Yemen  ครับ เยเมนเป็นประเทศในคาบสมุทรอาหรับ เป็นส่วนหนึ่งของเอเชียตะวันออกกลาง ซึ่งอยู่ใกล้กับทวีปแอฟริกา และได้รับอารยธรรมส่วนมากมาจากเอธิโอเปียครับ และกาแฟที่โด่งดังของเยเมน คือ Mocha Yemen ซึ่งกาแฟตัวนี้เป็นที่มาของเมนูที่เรารู้จักเป็นอย่างดีคือ Caffe Mocha นั่นเอง โดยกาแฟจากแหล่งนี้จะมีรสชาติโกโก้อันเป็นเอกลักษณ์  Mocha Yemen ถือได้ว่าหนึ่งในกาแฟที่น่าลองมาก ๆ แต่จะค่อนข้างหาดื่มยากสักหน่อยในบ้านเราครับ

          กาแฟจากทวีปแอฟริกานั้นโดยรวมแล้วจะมีความเปรี้ยวสูง บอดี้น้อย มีความหอมมาก และมีความหวานที่มากเช่นกันครับ สาวกกาแฟสาย Filter ต้องมาโดนกันเลยครับ

 

2. โซนทวีปอเมริกาใต้

          กาแฟโซนนี้เหมาะกับผู้หัดดื่ม Single Origin เลยครับ ส่วนมากจะเปรี้ยวน้อย ดื่มง่าย รสชาติ กลมๆ ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ ประเทศแรกที่จะต้องพูดถึงเลยก็คือ Brazil ครับ ประเทศนี้ผลิตกาแฟได้มากที่สุดอันดับ 1 ของโลก และเป็นอันดับ 1  ผลิตสายพันธุ์ Arabica เช่นกันครับ กาแฟ Brazil จะมี Acidity แบบ Green Apple หรือ ผลไม้จำพวก Marlic Acid รสนุ่มนวล Nutty และ Body ดีมากๆ อีกประเทศนึง คือ Colombia หลายคนชอบประเทศนี้เนื่องจาก โดยพื้นฐานรสชาติคล้ายๆ Brazil ทานง่าย แต่ว่ามีมิติของรสชาติ (Complex) มากขึ้นครับ กาแฟทั้ง 2 ประเทศในระดับ Specialty Grade จำพวก COE Rank อันดับต้นๆ แล้วหล่ะก็ Flavour และ Acidity มาเต็มชัดเจน กลิ่นหอมหวานมากๆ แต่ราคาก็จะสูงกว่าเดิมมากๆ ครับ เพราะว่า Taste แบบนี้ในโซน South America นั้นดูแลและผลิตได้ยากครับ ด้วยความที่หายากจัง ผมจึงจะขอแนะนำประเทศ Bolivia แทน ซึ่งเป็นกาแฟโซน South America ที่มี Flavour หลากหลาย มากกว่า Brazil และ Colombia ครับ ราคาก็พอๆ กับ Single Origin ทั่วไปเลยครับ

          อย่างที่กล่าวไป กาแฟ ฺBrazil และ Colombia นั้น นุ่มนวลทานง่าย Acidity น้อย และมี ฺBody ที่ดีมาก จึงนิยมนำไปทำ Base ของ Blend ต่างๆ และที่สำคัญอีกอย่างคือ กาแฟทั้งสองจะไม่รบกวนรสกาแฟจากแหล่งอื่นที่เราใส่เข้าไปเป็น Flavor และ Aroma ใน Blend ครับผม

 

3. ทวีปอเมริกากลาง

          กาแฟโซนนี้จะมีมิติรสชาติค่อนข้างซับซ้อน (Complex) มีความเปรี้ยว ไม่มากไม่น้อยไป บอดี้กลางๆ ถึงมาก ส่วนตัวผมชอบกาแฟในโซนนี้ที่สุด เพราะรู้สึกว่า กินทีคุ้มเลย ครบรส หากใครอยากลองทานกาแฟโซนทวีปนี้แล้วหล่ะก็ ผมขอแนะนำ Guatemala ก่อนเลย กาแฟประเทศนี้เป็นกาแฟที่ดีมาก ๆ มีเอกลักษณ์ คมชัดในรสชาติ จะมี Acidity แบบ Citrus แต่มี Flavor คล้ายกับ Chocolate, Nutty ส่วนของ Body รู้สึกเต็มปากเต็มคำเลยครับ (Round Cup) กาแฟจาก Guatemala หากนำไป Blend จะนิยมนำไปเติมในส่วนของ Flavor เพราะรสชาติโดดเด่นและไม่เปรี้ยวแหลมจนเกินไป ทำให้เรา ทาน Blend นั้นได้อร่อยและรสชาติชัดเจนเลยครับ หากรสชาติเปรี้ยวแหลมของ Ethiopia เป็นรูป 3 เหลี่ยม กาแฟ ฺBrazil เป็นลักษณะวงกลม รสชาติของ Guatemala ก็เปรียบได้กับ รูป 8 เหลี่ยมเลยครับ

          ประเทศต่อมาคือ El Salvador อารมณ์ที่ได้จะคล้ายๆ กับ Guatemala ที่ Complex นั่นแหละครับ แต่ว่านุ่มนวล (Smooth) มากขึ้น มีความ Bright Tone กว่า และในส่วนของ Acidity Citrus จะได้ Sweetness ฉ่ำแบบผลไม้ด้วย (Fruity) หลายคนชอบกาแฟจากแหล่งนี้เพราะเวลาทานรู้สึกครบรสและเบาสบายลื่นคอ ดื่มง่ายครับ

         ประเทศสุดท้ายที่จะยกตัวอย่างคือ Panama ครับ Flavor ที่ได้ จะออก Chocolate และ Almond หรือ Hazelnut นุ่มนวล ดื่มง่าย Acidity ถือว่าน้อย มี Body ที่ดี รสหวานแบบ Caramel ถือได้ว่าเป็นกาแฟที่รสชาติง่าย ๆ แต่ครบรส ตัวหนึ่งเลยครับ ยิ่งโดยเฉพาะสายพันธุ์ Geisha กาแฟสายพันธุ์นี้ ส่วนใหญ่จะทำมา 2 Process คือ Natural Process (Dry) และ Wet Process รสชาติที่ได้ คล้ายๆกับ Ethiopia ที่ผมกล่าวไปในข้อแรก แต่ว่ารสชาติจะมีมิติมากขึ้น และที่สำคัญกาแฟจะมี Body ที่ดีมากเลยครับ สำคัญมากกว่าขึ้นไปอีก ซึ่งทำให้ Panama Geisha โดดเด่น จนผู้ดื่มจะจำได้ชัดเจนที่สุดคือ Acidity ที่ให้รสแบบ Peach หากใครมีโอกาสได้ลอง ผมพูดคำเดียวว่า อย่าพลาดเลยครับ

 

4. ทวีปเอเชีย

          ทวีปนี้รสชาติจะเป็นไปตามแหล่งเพาะปลูกครับ ตัวอย่างเช่น India จะมีรสกลมๆ ถั่วๆ คล้ายๆ กาแฟ Brazil เลยครับ ส่วนกาแฟจากไทยและลาว เท่าที่ผมสัมผัสรสชาติค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่กาแฟไทยจะมีมิติรสชาติมากกว่า ส่วนกาแฟลาวจะเปรี้ยวน้อยกว่าครับ…

          ในทวีปนี้ ประเทศที่มีผลผลิตกาแฟเป็นอันดับที่ 2 ของโลก คือ Vietnam โดยเป็นอันดับ 1 ของโลกในการผลิต กาแฟ Robusta ครับ ในเอเชียเราประเทศที่มีชื่อเสียงในเชิงคุณภาพก็คงจะเป็น Indonesia ที่มีดินภูเขาไฟผลิตกาแฟ หลายตัวเช่น Java (เกาะชวา) และ Sumatra

          ประเทศ Indonesia มีกาแฟที่แพงและโด่งดังไปทั่วโลกเลย คือ Kopi Luwak หรือที่ บ้านเรานิยมเรียกว่า “กาแฟขี้ชะมด” ราคาที่สูงก็คงจะมาจากรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ปริมาณการผลิตที่น้อย แต่ช่วงหลัง ๆ ผู้บริโภคหลายคนต่อต้านกาแฟขี้ชะมด เนื่องจากส่วนหนึ่งบอกว่ากรรมวิธีผลิตค่อนข้างไม่สะอาด และส่วนใหญ่มองว่าเป็นการทรมานสัตว์ เพราะมีหลายฟาร์มจับชะมดมาขังกรงแล้วนำกาแฟดีบ้างไม่ดีบ้างให้ชะมดกิน โดยส่วนตัวผม Kopi Luwak ของ Indonesia เป็นกาแฟที่น่าลองมากกว่าที่อื่น เพราะความ Original ของมัน แต่ผมว่าเราก็ควรจะหากาแฟที่ไม่เป็นการทรมานสัตว์จะดีกว่ามากครับ.

 

5. โซนโอเชียเนียและหมู่เกาะแปซิฟิก

          ได้แก่ ออสเตรเลีย ฟิจิ และ ฮาวาย  ฮาวายเป็นแหล่งเดียวของอเมริกาเหนือที่สามารถปลูกกาแฟได้คุณภาพครับ กาแฟจากที่นี้ น่าจะถือได้ว่าเป็นกาแฟที่มีค่าแรงการผลิตราคาสูงที่สุดในโลกแล้ว เนื่องด้วยค่าครองชีพและค่าแรงของอเมริกานั้นมากกว่าประเทศที่ปลูกกาแฟหลายตังค์เลยครับ…

___________________________________________________________________________________________

 

…ทางโรงคั่วเราก็จะมีกาแฟ Single Origin จากทั่วมุมโลกออกมาอยู่ตลอด.. ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นมีกาแฟจากแหล่งไหนที่น่าสนใจครับ

และนี่จะเป็นเบลนหลักของทางเราครับ Blend จากแหล่งเพาะปลูกไทยและลาว ค่อนข้างเปรี้ยวน้อย บอดี้ดี ดื่มและชงง่าย เหมาะสำหรับกาแฟหลากหลายเมนู ทั้งกาแฟดำและกาแฟผสมนม สอบถามกันมาได้เลยนะครับ https://www.thealisonscnx.com/product-category/roasted-beans/

 

——————

#THEALISONS #Infographic #coffeeinfographic #เดอะอาลีซันบริการดุจญาติฝ่ายแม่ #เครื่องชงกาแฟ #เครื่องบดกาแฟ
#เครื่องกรองน้ำBWT

FROM SEED TO CUP

FROM SEED TO CUP

“กว่าจะเป็นกาแฟ 1 แก้ว ต้องผ่านอะไรมาบ้าง?”

  • HIGHLIGHT : 

    • – ฺการเก็บกาแฟในกะลาดีที่สุดเนื่องจากกันความชื้นและความแห้งได้ดี
    • กาแฟ 1 แก้ว หากเราใช้กาแฟ 20g. ในการชงกาแฟ เกษตรกรจะต้องเก็บผล Cherry ประมาณ 200g.
    • – ต้นกาแฟ 1 ต้น ให้ผลผลิต Cherry ประมาณ 5 – 10kg. ต่อฤดูกาล จากการคำนวณคร่าวๆ ก็จะได้เพียง 50 แก้วต่อ 1 ต้นเท่านั้นเอง
    • – ผลเชอร์รี่กาแฟ 1 kg. ใช้เวลาเก็บมือประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากต้องเลือกเก็บ เพราะกาแฟไม่ได้สุกพร้อมกันทั้งหมด

____________________________  

        รู้รึเปล่าครับว่ากาแฟไทย 1 แก้ว ต้องผ่านอะไรมาบ้าง หากใครยังไม่ทราบ ผมจะเล่าให้ฟัง…

– กาแฟจะเริ่มให้ผลผลิตในปีที่ 3-4 หลังปลูก เมล็ดกาแฟช่วงนี้จะเล็ก รสชาติยังไม่ดีเท่าที่ควร

– ให้ผลผลิต เต็มที่เมื่ออายุ 7-8 ปี มีรสชาติที่ชัดเจน และมีความเข้มข้นหรือ Body มากขึ้น

– ออกดอกประมาณเดือน เมษายน ของทุกปีเป็นต้นไป

– ผลเชอรรี่กาแฟ (Coffee Cherry) เริ่มสุกและสามารถเก็บผลผลิตได้ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์

โดยปกติใน 1 วัน เกษตรกร 1 คน จะเก็บเชอรรี่ได้เพียง 40-50 kg. เนื่องจากต้องใช้เวลาในการเลือกเก็บเพราะกาแฟสุกไม่พร้อมกัน  และเมล็ดไม่สมบูรณ์

หลังจากเก็บเชอรรี่สุกเสร็จแล้ว  จะต้องนำเปลือกออกโดยการแปรรูป (Process) เพื่อให้ได้รสชาติที่ดี

– การแปรรูป (Process) หลักๆ จะมีสองแบบคือ แห้ง (Dry) และ เปียก (Wet) ซึ่งให้รสชาติที่แตกต่างกัน

– Dry Process จะนำเชอรรี่ไปตากให้แห้งระยะเวลาราวๆ 15-20 วัน ให้มีความชื้นประมาณ 10% (ใช้เครื่องวัด) จากนั้นจึงนำมา สีเปลือกกออก (Pulped)

– Wet Process จะนำกาแฟไปลอกเปลือกออก (Pulped) จากนั้นนำไปแช่น้ำ 36-72 ชั่วโมง และขัดเอาเมือกออก (Mucilage) แล้วเอาไปตากแดดให้แห้งอีก 7-10 วัน เพื่อให้ได้ความชื้น 8-10%

Dry Process

ขั้นตอนการนำกาแฟไปลอกเปลือกออก

– การทำ Process จากผลเชอรรี่เป็นตัวกะลากาแฟ (Parchment) จะเหลือเพียง 20% ถ้า 100kg. ก็เหลือเพียง 20kg. กะลากาแฟเท่านั้น

– การเก็บกาแฟในกะลานั้นดีที่สุดเนื่องจาก กันความชื้นและความแห้งได้ดี

– หากจะคั่วกาแฟเราต้องสีกะลาออกก่อน โดยใช้เครื่องสีกะลากาแฟ ให้นึกถึงตอนเราสีข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร กระบวนการนี้ก็จะได้สารกาแฟ (Green Bean) ซึ่งเหลือเพียง 80%  เท่านั้น

– ปกติ สารกาแฟใหม่ๆ จะไม่นิยมนำมาคั่วใช้เลย เนื่องจากอาจจะมีความชื้นมากไป หรือ รสชาติยังออกมาไม่เต็มที่ จะใช้คั่วเมื่อสารกาแฟอายุ 2-3 เดือนขึ้นไป

– การคั่วกาแฟ โดยทั่วไปใช้ระยะเวลาราวๆ 10-15 นาที แล้วแต่ Profile และ ความเข้ม ขั้นตอนนี้จะเหลือกาแฟ 85% – 80%

– เมื่อได้กาแฟคั่วแล้ว ปกติจะยังไม่ชงเลยเนื่องจาก Gas จะเยอะและรสชาติจะยังไม่ออกเต็มที่ จะรอประมาณ 5-14 วัน แล้วแต่ Profile การคั่วของ Roaster

– จากนั้น Barista ก็มาชงกาแฟให้เราดื่ม Espresso กัน โดยการบดและชง ประมาณ 1 นาที

        ทั้งหมดนี้ก็เป็นการเดินทางของกาแฟที่กว่าจะมาเป็น 1 แก้วให้เราดื่ม นี่ผ่านอะไรมามากเหมือนกันนะครับเนี่ย แต่ผมเชื่อว่า ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น คนสวน คนคั่ว และบาริสต้า ต่างก็ตั้งใจ และใส่ใจทุกขั้นตอนกันอย่างสุดฝีมือ เพื่อจะทำให้เรา มีความสุขกับการดื่มกาแฟในทุก ๆ แก้วครับผม

——————

ถึงแม้ว่า กว่าจะเป็นกาแฟให้เราดื่มนั้นลำบากแค่ไหน แต่เราก็เต็มใจที่สรรหากาแฟดี ๆ มาให้ผู้ดื่มนะครับ

สามารถเข้าไปดู Character และรายละเอียดตาม Link นี้เลยครับ

https://www.facebook.com/TheAlisonsCoffeeRoasters/posts/1641594895878200

——————

ทักทายพวกเราได้ที่ :

Line @ : https://line.me/R/ti/p/%40thealisons

Instagram : https://www.instagram.com/the_alisons/

Website : https://www.thealisonscnx.com/

——————

source : 

Photo : by Nathan Dumlao on Unsplash

ขอบคุณข้อมูลจาก : พี่ดำรง กาแฟผาฮี้ อ.แม่สาย จ.เชียงราย   

#THEALISONS #Infographic #coffeeinfographic #เดอะอาลีซันบริการดุจญาติฝ่ายแม่ #เครื่องชงกาแฟ #เครื่องบดกาแฟ
#เครื่องกรองน้ำBWT

SINGLE ORIGIN & BLEND

SINGLE ORIGIN & BLEND

“SINGLE ORIGIN และ BLEND คืออะไร?”

      • HIGHLIGHT : 

        • – ฺกาแฟเป็นผลผลิตจากธรรมชาติ ซึ่งมีตัวแปรเยอะและควบคุมค่อนข้างยาก
        • – เหตุผลหลัก ๆ ที่มีการทำเบลนขึ้นมาคือ ต้องการลดต้นทุน / ทำให้รสชาติกาแฟนิ่งคงที่ / หารสชาติในแบบที่ต้องการนำเสนอ
        • – ปัจจุบันมี Single Origin จากสวนต่าง ๆ ในไทยเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น

       _____________________________

      หลายคนคงเคยเห็นตามหน้าถุงกาแฟคั่วของหลาย ๆ แบรนด์ที่เขียนติดว่า Single Origin หรือ Blend จากแหล่งเพาะปลูกต่าง ๆ นานา กันมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ แล้วสงสัยกันไหมครับว่ามันคืออะไร ถ้าอยากรู้เดี๋ยวผมจะเหลาให้ฟัง……      

            SINGLE ORIGIN คือ กาแฟที่มาจากแหล่งเพาะปลูกเดียว มีรสชาติ และเอกลักษณ์ตาม Process (กรรมวิธีการผลิต) และแหล่งเพาะปลูกนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น

            กาแฟจากประเทศ เอธิโอเปีย ซึ่ง character หลักๆ ของกาแฟในโซนนี้ ก็จะมี Acidity สูง (เปรี้ยวแบบกรดผลไม้) Body น้อยถึงปานกลาง แต่ในแต่ละเมืองหรือเมืองเดียวกันคนละหมู่บ้าน / Cooperative ก็จะมีรสชาติแตกต่างกันออกไปอีก บางแหล่งอาจจะมี acidity แบบ berry หรือบางแหล่งอาจจะมี acidity แบบ ส้ม แอปเปิ้ลเขียวหรือ เชอรี่ ฯลฯ

            ในปัจจุบัน Single Origin ที่ดี ๆ ไม่ได้มีแต่กาแฟนอกเท่านั้นนะครับ เดี๋ยวนี้กาแฟไทยของเราพัฒนาไปมาก หลาย ๆ สวน เริ่มทำ Process ให้คุณภาพดีขึ้น การนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ที่ใหม่เพื่อให้เกิดความแตกต่าง  ทำให้ผู้ดื่มอย่างเรา ๆ หาดื่มกาแฟ Single Origin ง่ายขึ้น และมีสีสันในการดื่มมากขึ้น

            หลายคนชื่นชอบการดื่ม Single Origin เนื่องจาก ต้องการเสพความชัดเจนและสัมผัสถึงคุณภาพ ของรสชาติจากแหล่งนั้น ๆ โดยที่ไม่มีรสชาติอื่นใดมาบดบัง

            ส่วน BLEND คือ กาแฟที่มาจาก 2 แหล่งเพาะปลูกขึ้นไป หรือแหล่งเพาะปลูกเดียวกันแต่คั่วคนละแบบ แล้วนำมาผสมกันนั่นเองครับ

    ซึ่งแนวคิดและเหตุผลหลักๆ ที่มีการทำ Blend ขึ้นมา ก็เพราะ

    •         1. ลดต้นทุน : กาแฟ Single Origin หลากหลายแหล่งส่วนใหญ่รสชาติไม่ได้ดูเด่นมาก แต่ละแหล่งก็จะมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป ส่วน Single Origin ที่รสชาติคุณภาพดี ๆ ต้นทุนราคาอาจสูงไปสำหรับการขาย จึงนำกาแฟ ธรรมดาจากหลายแหล่งมา Blend เพื่อให้ได้รสชาติดีขึ้นแทน
    •         2. ทำให้กาแฟรสชาตินิ่งคงที่ตลอดเวลา : เพราะกาแฟเป็นผลผลิตจากธรรมชาติ ซึ่งมีตัวแปรเยอะและควบคุมค่อนข้างยาก หากใครดื่ม Single Origin บ่อย ๆ จะสังเกตุได้ว่า แม้จะเป็นกาแฟจากสวนเดิม ตัวเดิม Process เหมือนเดิม ในบางปี รสชาติอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ จึงนำกาแฟจากหลายแหล่งมา Blend ปรับสัดส่วนตามรสชาติ เพื่อให้ได้รสชาติแบบเดิม
    •        
    •         3. เพื่อหารสชาติในแบบที่ตัวเองต้องการนำเสนอ : ในร้านกาแฟ Specialty หลากหลายร้าน อยากได้กาแฟที่รสชาติโด่นเด่นครบรส ตามความชอบ แต่ครั้นจะหา Single Origin ที่จะได้รสแบบที่กล่าวมานั้น ก็หาค่อนข้างยากและราคาสูงหรือแทบจะไม่มี จึงต้องเลือกกาแฟมา Blend เพื่อให้ได้รสชาติที่ต้องการ ซึ่งบางครั้งในการแข่งขันบาริสต้าหลายคนได้ใช้กาแฟ Single Origin ในระดับ Specialty Grade ที่มีราคาสูง นำมา Blend เพื่อให้ได้รสชาติ ที่มากกว่า Single Origin จะสามารถผลิตได้ มีทั้งการ Blend จากหลายแหล่ง และกาแฟตัวเดียวกันนำมาคั่วต่าง Profile มา Blend กัน

      ทีนี้ก็รู้แล้วว่า Single Origin และ Blend คืออะไร หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

    •         สุดท้ายนี้ของให้ทุกคนมีความสุขกับการดื่มกาแฟครับผม

——————

รู้หมือไร่ THE ALISONS เราก็มี BLEND เหมือนกันน๊า ส่วน SINGLE ORIGIN จะมีเฉพาะบางสัปดาห์เท่านั้น

Character และรายละเอียดตาม Link นี้ไปเลยครับ

https://www.facebook.com/TheAlisonsCoffeeRoasters/posts/1641594895878200

——————

ทักทายพวกเราได้ที่ :

Line @ : https://line.me/R/ti/p/%40thealisons

Instagram : https://www.instagram.com/the_alisons/

Website : https://www.thealisonscnx.com/

——————

source : 

Photo : by Nathan Dumlao on Unsplash  

#THEALISONS #Infographic #coffeeinfographic #เดอะอาลีซันบริการดุจญาติฝ่ายแม่ #เครื่องชงกาแฟ #เครื่องบดกาแฟ
#เครื่องกรองน้ำBWT

ระดับการคั่วกาแฟมีแบบไหนบ้าง

ระดับการคั่วกาแฟมีแบบไหนบ้าง

“การคั่วของกาแฟมีระดับไหนบ้างนะ?”

  • HIGHLIGHT : 

    • – ฺBody ของกาแฟที่มากขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับระดับการคั่ว วิธีการคั่วและการให้พลังงาน
    • – กาแฟคั่วอ่อนนิยมไปทำกาแฟในแบบ Filter และคั่วกลางขึ้นไปนิยมนำไปชงผ่านเครื่อง Espresso machine แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการนำเสนอของ Barista อีกทีครับ
    • – การดื่มกาแฟคั่วอ่อน หรือ คั่วเข้ม ขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ดื่ม ไม่มีถูกหรือผิด

________________________________

        ผมขอออกตัวไว้ก่อนเลยนะว่า เรื่องคั่ว ๆ เนี่ย ต้องถามผมเลยครับ..คั่วกาแฟหรอ???…….ป๊าวววว…..คั่วสาววว!!!!!

เดี๋ยววว ๆๆๆๆๆ 5555.

       มีคนถามผมมาเยอะมากครับว่า ระดับการคั่วไหน เป็นระดับการคั่วที่ดีที่สุด?

       ส่วนตัวผมขอตอบว่า ระดับการคั่วที่ทำให้ Character ออกมาชัดเจนที่สุด ขึ้นอยู่ด้วยว่าเรานำไปใช้กรรมวิธีไหนในการชง เช่น กาแฟคั่วเข้มหากเอามาชงกาแฟดริปก็จะมีรสชาติขมไหม้มาปกปิดรสชาติของกาแฟจริงๆ 
หรือ กาแฟคั่วอ่อนหากนำมาชง Espresso ก็จะมีความเปรี้ยวที่มากเกินไป รวมถึงรสชาติต่าง ๆ ยังไม่ถูกดึงออกมาได้เต็มที่่จริง ๆ
และก็ขึ้นอยู่กับการนำเสนอของ Barista ด้วยครับ

       ซึ่ง Roaster ที่ชำนาญ จะมีวิธีคั่วกาแฟ คั่วอ่อนสำหรับ Espresso ให้มีรสชาติและมิติมากขึ้น หรือคั่วกาแฟเข้มไม่ให้มีกลิ่น Smoke มาบดบังรสชาติของกาแฟครับ

ลักษณะทางกายภาพ และรสชาติของแต่ละระดับการคั่ว

 

 

สีของเมล็ดกาแฟแต่ละระดับ

 

       แต่ยังไงก็ตาม การดื่มกาแฟคั่วอ่อน หรือ คั่วเข้ม ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ดื่ม ความชอบไม่มีผิดถูกนะครับ
แล้วเพื่อน ๆ หล่ะ ชอบกาแฟคั่วระดับไหน สำหรับชงแบบใด เพราะอะไร มาแชร์กันได้นะคร้าบบบ

—————–
รู้จักระดับการคั่วของกาแฟกันไปบ้างแล้ว ลองมารู้จักกาแฟคั่วของเราบ้างดีกว่าฮะ ว่ามีแบบไหนบ้าง…

Character และรายละเอียดตาม Link นี้ไปเลยครับ
https://www.facebook.com/TheAlisonsCoffeeRoasters/posts/1641594895878200
——————
ทักทายพวกเราได้ที่ :
Line @ : https://line.me/R/ti/p/%40thealisons
Instagram : https://www.instagram.com/the_alisons/
Website : https://www.thealisonscnx.com/

——————

source : 

Photo : by Nathan Dumlao on Unsplash, nousnou iwasaki on Unsplash

#THEALISONS #Infographic #coffeeinfographic #เดอะอาลีซันบริการดุจญาติฝ่ายแม่ #เครื่องชงกาแฟ #เครื่องบดกาแฟ
#เครื่องกรองน้ำBWT

ARABICA VS ROBUSTA

ARABICA VS ROBUSTA

“ARABICA กับ ROBUSTA แตกต่างกันยังไงนะ?”

      • HIGHLIGHT : 

        • – ฺผลผลิตทั่วโลก แบ่งเป็น ARABICA 70% และ ROBUSTA 30%
        • – ประเทศที่ผลิตกาแฟอาราบิก้ามากที่สุดในโลก 3 อันดับ ได้แก่ BRAZIL / COLOMBIA / HONDURAS
        • – ประเทศที่ผลิตกาแฟโรบัสต้ามากที่สุดในโลก 3 อันดับ ได้แก่ VIETNAM / INDIA / INDONESIA

  ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชีวิตในปัจจุบันของเราส่วนใหญ่ทุกวันนี้ นั้นจะขาดกาแฟไม่ได้เลย….อารมณ์เหมือนขาดเธอ เหมือนจะขาดใจอะไรยังไงอย่างงั้นเลยหล่ะครับ…..

  แต่เพื่อน ๆ รู้กันไหมครับว่า กาแฟที่เราดื่มกันทุกวันนี้มาจาก 2 สายพันธุ์หลัก ๆ นี้ครับ นั่นก็คือ  Arabica และ Robusta นั่นเอง

  อาราบิก้านั้น นิยมปลูกทางภาคเหนือซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องด้วยความสูง และสภาพอากาศที่หนาวเย็นที่เอื้อต่อการเจริญเติบโต และคุณภาพของต้นกาแฟ ส่วนโรบัสต้าจะนิยมปลูกกันทางภาคใต้ เพราะต้นกาแฟทนทานต่อโรค และแมลง ชอบอากาศร้อนชื้น และไม่ต้องการความสูงมากก็อยู่ได้นั่นเองครับ….

——————

รู้ข้อแตกต่างของอาราบิก้าและโรบัสต้ากันไปแล้ว และรู้ไหมครับว่า THE ALISONS เราใช้กาแฟ Arabica 100% น๊าาาาาา

Character และรายละเอียดตาม Link นี้ไปเลยครับ

https://www.facebook.com/TheAlisonsCoffeeRoasters/posts/1641594895878200

——————

ทักทายพวกเราได้ที่ :

Line @ : https://line.me/R/ti/p/%40thealisons

Instagram : https://www.instagram.com/the_alisons/

Website : https://www.thealisonscnx.com/

——————

source : 

Photo : by Nathan Dumlao on Unsplash  

#THEALISONS #Infographic #coffeeinfographic #เดอะอาลีซันบริการดุจญาติฝ่ายแม่ #เครื่องชงกาแฟ #เครื่องบดกาแฟ
#เครื่องกรองน้ำBWT

วิธีเลือกเครื่องบดกาแฟในแบบ THE ALISONS

วิธีเลือกเครื่องบดกาแฟในแบบ THE ALISONS

 

 

“ซื้อเครื่องบดกาแฟเครื่องนึง ควรดูอะไรบ้าง?”

  • HIGHLIGHT : 

    • – ปัจจัยที่ทำให้เครื่องบดกาแฟ มีราคาสูง 4 ข้อ นั่นคือ รสชาติ, ความเร็ว, การใช้งาน และ วัสดุ
    • – เครื่องบดแบบ Stepless คืออะไร ทำไมหลายคนบอกว่าดีกว่า…
    • – เครื่องบดแบบ Stepless เป็นเครื่องบดที่เราจะสามารถปรับเฟืองบดได้ถี่มากกว่าเครื่องบดแบบ Step ซึ่งตัวล๊อคจะเป็นร่องหรือรู แล้วแต่แบรนด์ ยกตัวอย่างเช่น สมมุติหากเราชงกาแฟออกมา 2 oz. เวลา 25 วินาที แต่เราอยากได้ 26 วินาที เครื่องบดแบบ Step จะทำได้ที่ 27 วินาที เลยครับ เพราะไม่สามารถ ปรับได้ถี่เท่า Stepless ครับผม

__________________________________

 

          จากบทความที่แล้ว เราได้พูดถึงเรื่องการเลือกเครื่องชงกาแฟที่ใช้สำหรับร้านกาแฟ ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงอุปกรณ์คู่หูกับเครื่องชงกาแฟสด นั่นก็คือ เครื่องบดกาแฟนั่นเองครับ โดยทั่วไปแล้วเรามักจะมองเครื่องชงกาแฟเป็นหลัก แต่จริง ๆ แล้ว ผมอยากให้คิดถึงเครื่องบดกาแฟด้วย เพราะก่อนที่เมล็ดกาแฟจะผ่านเครื่องชงได้ ต้องถูกบดมาก่อนเสมอ คราวนี้เราจะเลือกซื้อเครื่องบดอย่างไร ทำไมบางเครื่องถึงราคาสูงถึงขนาดซื้อเครื่องชง 2 หัวกรุ๊ปได้เลย

          บทความนี้จะขอแนะนำว่า หากเราต้องการซื้อเครื่องบดกาแฟ เพื่อที่จะต้องมาทำกาแฟสดขาย เราควรดูอะไรบ้าง แต่ละแบบราคาประมาณเท่าไหร่ และจะมีตารางราคาเครื่องบด ตามสเปคเครื่องให้ดูคร่าว ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกซื้อนะครับ ในบทความนี้จะไม่ได้ได้พูดถึงเครื่องบดประเภท Retail Grinder หรือบางคนเรียก Shop Grinder นะครับ ส่วนใหญ่เราจะเห็นใน super market เอาไว้บดกาแฟขายให้ลูกค้าที่ซื้อเมล็ดกลับบ้าน…เช่นเคยครับ บทความนี้เราอยากให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์สูงสุด ได้เข้าใจเกี่ยวกับเครื่องบดต่าง ๆ และเลือกใช้เครื่องตามความเหมาะสมกับงบและการทำงานของเราครับ เรามาดูกันดีกว่าว่าควรจะมองอะไรจากเกี่ยวกับเครื่องบดบ้าง

1 . ประเภทเฟืองบด

ประเภทเฟืองบด เรื่องนี้ผมว่าเป็นอันดับแรกเลยครับ ที่เราควรคำนึงถึง…ส่วนประเภทของเฟืองบดนั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แบบครับ

1.1 Blade หรือ ใบมีด แต่จริงๆ แล้ว ประเภทใบมีดนั้นไม่ใช่เฟืองนะครับ แต่ที่ยกมาพูดถึงเพราะผมคิดว่า น่าจะมีบางท่านได้เห็นการบดประเภทนี้ จะได้เข้าใจพร้อมๆกันไปเลย หากถามว่าบดกาแฟได้ไหม ก็ตอบไปตามตรงว่าบดได้ครับ แต่ข้อเสียก็คือ ผงกาแฟที่ได้นั้นจะไม่มีความสม่ำเสมอกันเลย หากเราใช้ในการชงกาแฟประเภท French Press หรือการชงแบบแช่แล้วกรองออก หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่เครื่องชงแบบแรงดัน ก็พอชงทานได้ครับ แต่รสชาติจะไม่เข้มข้นและกลมกล่อมเท่าไหร่นัก อาจจะจืดและขมไป เพราะมีผงละเอียดและหยาบปะปนกัน ยิ่งกาแฟสัมผัสน้ำมากแค่ไหน ก็จะดึงรสออกมามากขึ้นเท่านั้น รวมถึงความขมที่ออกมามากเกินไป หรือ ผงหยาบก็จะสัมผัสน้ำได้น้อยก็จะแทบไม่ดึงรสชาติกาแฟออกมาเท่าไหร่นัก ทีนี้หากมาใช้กับเครื่องชง Espresso Machine ที่ใช้แรงดันในการชงแล้วล่ะก็ แน่นอนครับ รสกาแฟที่ได้ จะจืดและไม่มีความเข้มข้นเลย เพราะน้ำจะผ่านกาแฟค่อนข้างไวมาก ๆ ครับ

1.2 Flat Burr จะมีลักษณะเป็นเฟืองบด 2 ชั้น แนวราบ การทำงานคือ เฟืองล่างจะเป็นตัวหมุน เฟืองด้านบนจะเป็นตัวที่เราปรับระดับขึ้นลง ยิ่งเราปรับเฟืองบดให้ชิดกัน กาแฟก็จะยิ่งละเอียดมากขึ้น เครื่องบดทั่วไปส่วนใหญ่จะใช้เฟือง Flat Burr ส่วนตัวผมข้อดีคือ ได้รสชาติที่จัดจ้านชัดเจน ส่วนข้อเสียคือ หากเฟืองบดเล็ก หรือ เครื่องบดมีรอบหมุนจัด ส่วนมากกาแฟจะบดออกมาแล้วผงติดกัน ทีนี้หากเราไม่กระจายกาแฟในก้านชงดี ๆ แล้วล่ะก็ กาแฟก็จะติดรวมกัน พอเราสกัดช็อตกาแฟ ก็จะทำให้เกิด Channeling ได้ครับ การเกิด Channeling เกิดขึ้นจากการกระจายผงกาแฟในก้านชงได้ไม่ดี พอเราแทมป์กาแฟบางส่วนแน่น บางส่วนโปร่ง น้ำจึงไหลไปอีกทางที่ง่ายกว่า ทีนี้กาแฟก็จะถูกสกัดไม่ทั่วถึง รสที่ได้ก็จะขม เนื่องจากน้ำไหลผ่านที่เดิมซ้ำ ๆ จนสกัดรสขมหรือรสที่ไม่พึงประสงค์ออกมา และเนื้อสัมผัสไม่เข้มข้น หรือที่เรียกกันว่า ฺBody น้อย ก็เพราะกาแฟไม่ถูกสกัดครบทั้งหมดที่เราใส่ผงกาแฟลงไป ยกตัวอย่างเช่น เราใส่กาแฟไปทั้งหมด 18 g. อาจจะถูกสกัดเพียงแค่ 15 g. เนื่องจากอีก 3 g. หนาแน่นเกินไป น้ำไหลผ่านไม่ได้ และจริงๆแล้ว กาแฟเพียงแค่ 1 g. เราอาจจะคิดว่าน้อย แต่เพียงแค่นี้รสชาติก็แตกต่างแล้วครับ ถ้าถามว่า เป็นแบบนี้ Flat Burr ก็ไม่ควรซื้อรึเปล่า…จริงอยู่ครับว่า ข้อเสียมันเป็นแบบนี้ แต่แบรนด์ดี ๆ นั้น เค้าได้ออกแบบลายเฟืองบดและเลือกใช้วัสดุเฟืองที่ดี และความเร็วรอบอย่างเหมาะสม ทำให้ข้อเสียแบบนี้มีน้อยจนน้อยที่สุด แต่ก็นั่นแหละครับ ราคาก็จะสูงขึ้นไป Flat Burr ที่ราคาสูงที่สุดในการใช้บนบาร์กาแฟที่ผมเคยใช้ ราคาประมาณ 120,000 บาท สามารถซื้อเครื่องชง Heat Exchange 2 gr. ได้เลย แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันดีจริง ๆ ครับ เมื่อเราพูดถึงข้อเสียแล้ว ผมคงต้องพูดถึงข้อดีกันบ้าง ข้อดีของการเลือกเครื่องบดแบบ Flat Burr ก็คือ ตอนที่เราปรับเบอร์บดกาแฟ ตัวเครื่องจะปรับหาระดับที่เราต้องการง่ายมาก ๆ และที่สำคัญคือเราจะสูญเสียกาแฟที่ค้างอยู่ในเฟืองบด เพียง 5 – 15 g. ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของเฟืองบดด้วยครับ

1.3 Conical Burr หรือเฟืองบดแบบกรวย การทำงานเหมือนกับ Flat Burr คือ เฟืองล่างจะเป็นตัวหมุน เฟืองบนจะเป็นตัวปรับระดับขึ้นลง ข้อดีของเฟืองบดแบบนี้คือ ผงกาแฟที่บดออกมาจะได้ผลึก หรือ Particle Size ที่ขนาดใกล้เคียงกันมากกว่า Flat Burr ถ้าใครเคยจับผงกาแฟจาก Conical Burr จะรูู้สึกว่ามันหยาบ เพราะว่า ผงกาแฟที่ถูกบดออกมามีความสม่ำเสมอ จึงแทบไม่มีส่วนที่ละเอียดมากๆ ถูกบดออกมาด้วย รสชาติที่ได้จะกลมกล่อม บอดี้ดี ความเปรี้ยวน้อยลง ส่วนข้อเสียคือ การปรับระดับหยาบละเอียดค่อนข้างยากกว่า Flat Burr มากครับ ยิ่งบาริสต้ามือใหม่ ได้จับเครื่องบด Conical ใหม่แกะกล่อง การเซตอัพระดับเฟืองบดประเภทนี้ค่อนข้างใช้ความชำนาญพอสมควร และอาจจะเปลืองกาแฟมาก แต่พอบดกาแฟพ้นระยะรันอินเครื่อง จนเฟืองบดมีความนิ่ง ก็จะง่ายขึ้นกว่าเดิมครับ และข้อเสียอีกอย่างคือ ด้วยความที่ เฟืองบดแบบ Conical ลักษณะเฟืองค่อนข้างใหญ่ จะทำให้ในการปรับเครื่องบดแต่ล่ะครั้ง เราอาจจะต้องสูญเสียกาแฟไป 20-60 g. ตามขนาดเฟืองเลยทีเดียวครับ

2. ขนาดเฟือง

          ขนาดของเฟืองที่พบในเครื่องบดทั่วไปก็จะมี 50 mm., 58 mm., 64 mm., 75 mm., 83 mm. ซึ่งเฟืองบด ยิ่งใหญ่ ยิ่งบดได้รวดเร็ว ส่วนเฟืองบดเล็กมักจะมีข้อเสียที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือ ผงกาแฟจะติดเป็นก้อนง่ายมากกว่า และส่วนใหญ่ผงกาแฟที่ถูกบดออกมาจะไม่มีมีความสม่ำเสมอเท่ากับเฟืองบดตัวใหญ่ ส่วนเฟืองบดตัวใหญ่ ข้อเสียหลัก ๆ เลยคือ จะมีผงกาแฟค้างค่อนข้างเยอะ เกือบ ๆ เท่าตัว ของเฟืองบดตัวเล็กเลยครับ

 

3. วัสดุเฟืองบด

          วัสดุเฟืองบด เท่าที่ผมเคยเจอนะครับ จะมีหลัก ๆ อยู่ 3 แบบครับ        

3.1 Ceramic ข้อดีคือ มีความคม เฉือนเมล็ดกาแฟได้ดี และเฟืองจะร้อนช้า ส่วนข้อเสียคือ เปราะและสึกไว เฟืองก็จะไม่คม ส่วนใหญ่จะอยู่ในเครื่องบดมือ และ เครื่องบดไฟฟ้า แบบ Home Use ครับ

3.2 Steel หรือ เหล็กนี่แหละครับ เราจะเห็นได้เกือบทุกเครื่องบดเลย มีความแข็งแรง สึกกร่อนยาก และแต่ละแบรนด์ก็ใช้โลหะที่คุณภาพไม่เหมือนกัน ทำให้ความคม ความแข็งแรง และการสะสมความร้อนแตกต่างกันครับ

3.3 Titanium Coated (TiN) เฟืองบดสีทองที่เป็นโลหะเคลือบไททาเนียมนั้น ผลิตขึ้นมาให้การใช้งานของเฟืองบดมีความแข็งแรงมากขึ้น สึกกร่อนช้าลง และร้อนช้ากว่าแบบ Steel ทั่วไปมาก ๆ เลยครับ โดยปกติเฟืองบดทั่วไป ใช้กาแฟประมาณ 500 – 800 กิโลกรัม ประสิทธิภาพของเฟืองบดก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ แล้ว ส่วนเจ้า Ti Coated ประมาณ 1,000 – 1,500 Kg. ตอนนี้จะมีเฟืองบดชนิดหนึ่งชื่อว่า Red Speed Burr (RSB) ในแบบที่ผมเข้าใจง่าย ๆ นะครับ คือ ตัววัสดุการ Coated หรือเคลือบ นั้นเป็น Titanium Aluminum Nitride (TiAlN) และมีการผสม Tungsten Carbide (WC) เข้าไปด้วย ซึ่งเจ้า WC ถือได้ว่าเป็นวัสดุที่เป็นพระเอกวงการเครื่องมือตัดต่างๆ เพื่อให้ตัวเฟืองมีความแข็งแรง มีความคมที่ยาวนาน ทนความร้อนได้สูงมากเพิ่มขึ้นไปอีก ทางสังกัดเคลมมาว่าสามารถใช้ได้ 2,500 – 3,000 กิโลกรัม หรือ มากกว่านั้นเลยครับ ส่วนราคานั้นก็ไม่ได้กระโดดไปกว่า Ti Coated ซักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มีเพียงไม่กี่แบรนด์เท่านั้นที่ผลิตออกมา ส่วนตัวผมคิดว่าหลาย ๆ แบรนด์ ระดับ TOP ที่ยังไม่ผลิตออกมาในตอนนี้ คงเป็นเพราะวัสดุเฟืองบดของเค้านั้น ณ ตอนนี้ มีประสิทธิภาพที่ดีเพียงพออยู่แล้วครับ

 

Red Speed Burr (RSB)

Titanium burr

Tips.

– ความร้อนของเฟืองไม่สามารถทำให้กาแฟไหม้ได้นะครับ แต่หากเฟืองร้อน ตัวเฟืองจะขยายใหญ่ขึ้น ผงกาแฟที่บดมา จะมีผงละเอียด เล็ก ๆ ติดมาด้วย และบดกาแฟไม่นิ่ง ทำให้เมื่อเราชงกาแฟ จะทำให้น้ำกาแฟขมกว่าปกติครับ

 

– เฟืองบดต้องมีความคมเพื่อเอาไว้ตัดเมล็ดกาแฟ หากไม่คม เมล็ดจะถูกเสียดสีแทนการตัด ทำให้รสชาติเสียหายได้ รสที่ได้ก็จะขมๆ ทื่อๆ ไม่ค่อยมีความหวาน หรือ ความเปรี้ยวเหมือนเดิม ความข้นหนืดไม่มี ความข้นหรือ body ลดน้อยลง เราอาจจะดูได้จากการไหลได้อย่างเช่น ถึงแม้จะสกัดได้เวลาที่ดี แต่ครีม่าไม่ค่อยออกมา หรือ กาแฟไหลออกมาเป็นเส้นน้ำ ไม่มีเนื้อกาแฟออกมาด้วย หากใครใช้เครื่องบดมา ประมาณ 2 ปีขึ้นไป หรือ มากกกว่า 500 – 800kg. ผมแนะนำให้เปลี่ยนเฟืองบดนะครับ รสชาติที่ได้ก็จะเข้มข้นชัดเจน เหมือนตอนที่เราซื้อมาใหม่ ๆ เลยครับ หมั่นทำความสะอาดเฟืองบด เนื่องจาก จะมีผงกาแฟเก่าๆ หรือคราบน้ำมันจากเมล็ดกาแฟติดอยู่ในตัวเฟืองบด ส่วนวิธีการดูแลสามารถสอบถามทางบริษัทที่เราซื้อมาได้เลยครับ จริง ๆ แล้ว เครื่องบดแกะไม่ยาก แต่บางเครื่องตอนประกอบยากมาก ๆ ให้ช่างผู้ชำนาญทำให้ดีที่สุดครับ เพราะถ้าหากเราประกอบไม่ดี อาจะทำให้เครื่องเสียได้เลยครับผม

4. ความเร็ว

          ความสะดวกในการชงกาแฟส่วนหนึ่งมากจากความเร็วของเครื่องบดกาแฟครับ เฟืองยิ่งใหญ่ หรือความเร็วรอบจัด ก็จะยิ่งบดได้รวดเร็วมากขึ้น แต่เครื่องบดบางตัว เช่น แบรนด์จากเยอรมัน หรือ สวิสเซอร์แลนด์ ถึงแม้จะมีขนาดเฟืองเพียงแค่ 65 mm. แต่ก็บดได้รวดเร็วกว่าแบรนด์อื่น ๆ ที่มีขนาดเฟือง 75 mm. เลยครับ ข้อนี้ผมจะขอยกตัวอย่างเครื่องบดแบรนด์หนึ่งที่ผมเคยใช้มา ในการบดกาแฟ 18 – 20 g. ความละเอียดระดับ Espresso โดยใช้กาแฟคั่วกลางค่อนเข้ม (กาแฟคั่วเข้มจะใช้เวลาในการบดเยอะกว่า เนื่องจากเมล็ดมีน้ำหนักเบากว่ากาแฟคั่วอ่อน) ว่าจะใช้เวลาประมาณ กี่วินาทีกัน

Flat burr 58 mm. =  18 วินาที

Flat burr 64 mm. = 13 วินาที

Flat burr 75 mm.= 8 วินาที

Conical burr 63 mm. = 5 วินาที

Conical burr 71 mm. = 3 วินาที

          แต่ละแบรนด์ อาจจะมีขนาดเฟืองไม่เท่ากับในตัวอย่างที่ยกมา ลองเทียบขนาดใกล้ ๆ กันดูครับ เวลาจะไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่ นอกจากเครื่องบดบางแบรนด์หรือรุ่นนั้น ๆ พิเศษกว่าเครื่องบดทั่วไปครับ

 

5. ลายเฟืองบด รสชาติ และ ขนาดผลึกผงกาแฟ

          ทำไมแต่ละแบรนด์หรือแต่ละรุ่น รสชาติถึงได้แตกต่างกัน ลายเฟืองบดที่ดีจะทำให้ ผลึกที่ออกมามีความสม่ำเสมอมาก (Particle Size) เมื่อผงกาแฟมีขนาดสม่ำเสมอกัน รสที่ได้ก็จะดีไปด้วย เช่น ไม่เปรี้ยวเกินไป ไม่ขมเกินไป รสกลมกล่อม และมีบอดี้ที่ดี เครื่องบดแต่ล่ะแบรนด์ จะมีความคิดในการนำเสนอรสชาติที่แตกต่างกันตามรสนิยมของแต่ละแบรนด์ บางแบรนด์เน้นเข้มข้น รสชาติจัดจ้าน เปรี้ยวชัดกว่าแบรนด์อื่น หรือบางแบรนด์ก็เน้นความกลมกล่อม หอมหวาน แต่บอดี้อาจจะน้อยกว่า ซึ่งในระดับ Professional Barista จะมีเครื่อง Refractometer สำหรับ วัดค่า TDS หรือความเข้นข้นของน้ำกาแฟ เพื่อหาค่า % การสกัด ว่าสกัดกาแฟได้รสชาติมากน้อยแค่ไหน  ผมเคยพูดคุยกับท่านหนึ่งสมัยผมเรียนรู้เรื่องกาแฟได้ปีกว่าๆ ขออนุญาติเอ่ยนามนะครับ คือ พี่หมู Bottomless Espresso Bar ที่ผมขอเอ่ยชื่อพี่หมู เพราะส่วนตัวผมถือได้เลยว่า เค้าเป็น User ขนานแท้เลยครับ ไม่เน้นว่าแบรนด์ไหน ลองมาทุกแบรนด์เกือบทุกรุ่น รุ่นไหนที่เค้าว่า TOP ลองซื้อมาใช้หมด ผมเลยถามเค้าไปว่า เครื่องบดตัวไหนรสชาติดีที่สุดในโลก เค้าก็ตอบผมมาว่า “เครื่องบดที่ดีที่สุดในโลกไม่มี มีแต่ดีที่สุดสำหรับเรา อยู่ที่ว่าเราชอบแบบไหน เครื่องบดบางตัวที่สกัดกาแฟได้ดีมากๆ เราอาจจะไม่ชอบก็ได้ อย่างเช่น บอดี้เยอะไป หรือ เปรี้ยวมากเปรี้ยวน้อย คุณภาพกับความชอบนั้นเป็นคนละเรื่องกัน” มันก็คงจะเหมือนกับส้มตำหรือยำมั้งครับ ที่ผมได้ยินมาว่าต้องเผ็ดและรสจัดถึงจะอร่อย แต่ส่วนตัวผมหน่ะกินเผ็ดได้ไม่มาก ถ้าเผ็ดไปสำหรับผมคือไม่อร่อยเลย

6. การใช้งาน

          เครื่องบดหลาย ๆ ตัวเราอาจจะมองที่ความสวยงามและวัสดุที่ดี บางทีอาจจะไม่ได้ดูว่า เราใช้งานถนัดหรือเหมาะกับบาร์ทำงานของเราหรือไม่ เช่น ในบาร์ที่แคบ หรือเครื่องบดอยู่ชิดกับผนัง เราอาจจะใช้เครื่องบด Manual ที่มีก้านโดส ไม่สะดวก ควรจะใช้แบบ Auto หรือที่บางคนเรียกว่า Grind On Demand ซึ่งเราจะตั้งเวลาให้กาแฟบดออกมาตามเวลาที่เรากำหนด บางแบรนด์มีตราชั่งติดมาด้วย เพื่อตั้งปริมาณผงกาแฟที่จะใช้ว่าต้องการกี่กรัมกันเลย ยิ่งทำงานสะดวกมากขึ้นเท่าไหร่ ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปมากขึ้นเท่านั้น หรือการใช้งานเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างเช่น ก้านโดสกาแฟ (Dose) แบบ manual บางรุ่นด้ามยาว บางรุ่นด้ามสั้น จับไม่ถนัด หรือบางเครื่อง งานประกอบไม่ค่อยแน่น ทำให้การ Dose กาแฟไม่ไหลลื่น หรือผงกาแฟตกลงมาไม่ตรงกับก้านชงที่เราวางไว้ หกเลอะเทอะง่าย เป็นต้น

ส่วนเรื่องรายละเอียดการใช้งาน หากเราสนใจเครื่องบดตัวไหน ผมแนะนำให้ถามบาริสต้าที่ใช้อยู่เป็นประจำเลยครับว่าดีไหม ใช้สะดวกหรือไม่ หรือหากใช้เครื่องนี้มีเทคนิคอะไร แนะนำรึเปล่า ผมเชื่อว่าบาริสต้าทุกท่านยินดีตอบทุกคนครับ       

7. แบรนด์ และ สัญชาต

ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมล้วน ๆ ตามที่ผมเคยใช้งานมาหลาย ๆ ตัวและสัมผัสมา นะครับ ซึ่งอาจไม่ได้รวมถึงเครื่องบดตัวพิเศษหรือรุ่นใหม่ ๆ ของแต่ละแบรนด์ครับ

– เครื่องบดกาแฟส่วนใหญ่จะมาจากทาง Italy ครับ เรื่องงานประกอบและวัสดุ มั่นใจหายห่วงได้เลย รสชาติเข้มข้นจัดจ้าน ชัดเจน ถ้าเป็นรุ่น Top ของแต่ละแบรนด์ จะให้รสชาติที่หลากหลายและมีความหวานของกาแฟมากขึ้น หากเป็นเฟืองแบบ Conical รสชาติจะนุ่มนวลกว่าและมีรสหลากหลายมากขึ้นครับ

– เครื่องบดจากทาง Spain ก็เน้นการใช้งานแบบลื่นไหลและมีนวัตกรรมใหม่ ๆ มานำเสนออยู่เรื่อยๆ รสชาติจะมีความนุ่มนวล ดื่มง่าย และถ้าเป็นรุ่น Conical ก็จะคล้าย ๆ กับ Italy ครับ แต่จะเน้นความลื่นไหลของรสชาติตามแบบฉบับของทางแบรนด์มากกว่า

– เครื่องบดสัญชาติ Germany และ Swiss จะเน้นรสชาติที่ครบรส กลมกล่อม และซับซ้อน ซึ่งราคาก็ถือว่าสูงตามคุณภาพเลยครับ

– เครื่องบดจาก จีนและเกาหลี เรื่องรสชาติ จะคล้าย ๆ กับเครื่องบด Spain ครับ แต่ว่างานประกอบและความลื่นไหลในการใช้งานจะดีไม่เท่า ส่วนข้อดีคือ วัสดุตัวเครื่องถือได้ว่าแข็งแรงทนทาน และที่สำคัญราคาค่อนข้างถูกมาก ๆ ครับ ราคาห่างกันอย่างน้อยเกือบครึ่งนึงเลยครับ โดยเทียบกับเครื่องบดของ Spain และ Italy หากใครไม่ได้เน้นแบรนด์ หรือจริงจังกับรสชาติมาก เครื่องบดจากจีนและเกาหลี ก็เป็นทางเลือกที่ดีมาก ถ้าเราอยากจะประหยัดงบครับ

 

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 7 ข้อในการเลือกดูเครื่องบดกาแฟ น่าจะพอช่วยให้ตัวเลือกแคบลงบ้างนะครับ ผมจะขอสรุปเรื่องเครื่องบดแบบง่าย ๆ ว่าปัจจัยอะไรถึงทำให้เครื่องบดราคาสูง 4 ข้อ นั่นคือ รสชาติ, ความเร็ว, การใช้งาน และ วัสดุ ครับ

บทความนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์ หรือผิดพลาดประการใดแจ้งกันมาได้นะครับ ผมอาจจะสื่อสารและเรียบเรียงคำได้ไม่ดีเท่าที่ควร จะได้แก้ไขให้ดีขึ้นเพื่อผู้บริโภคจะได้รู้จักเครื่องบดกาแฟมากขึ้นครับ

สำหรับด้านล่างนี้จะเป็นตารางราคาเครื่องบดในแต่ละคลาส ซึ่งตัวเลขราคาที่ยกมาให้ดูนั้นมีขายอยู่จริงนะครับ ซึ่งเครื่องบดแต่ละตัวนั้น มีความเหมาะสมของเรื่องราคาตามจุดเด่นของแต่ละเครื่อง จะได้มีข้อมูลคร่าว ๆ ไว้เปรียบเทียบตามงบประมาณในการตัดสินใจเลือกซื้อครับผม ถ้าหากถามผมว่า เลือกเครื่องบดแบบแบบง่าย ๆ ไปเลย ผมก็จะขอตอบในความคิดผมเลยว่า 1. งบในการซื้อ 2. การใช้งาน 3. ความเร็ว 4. วัสดุ 5. รสชาติ แต่ถ้าบอกว่างบไม่อั้นผมจะเลือก 1. รสชาติ (ตามความชอบ) 2. การใช้งาน 3. ความเร็ว วัสดุไม่ต้องพูดถึงครับ ราคาแรงแข็งแรงแน่นอนครับผม

Type Manual Auto
Flat Burr 50 mm. 9,900 – 14,900 THB. 15,000 THB.
Flat Burr 58 – 60 mm. 18,500 – 25,740 THB. 31,100 THB.
Flat Burr 64 – 65 mm. 1ุ6,000 – 34,350 THB. 17,000 – 45,000 – 97,000 THB.
Flat Burr 71 – 83 mm. 34,000 THB. 38,00 – 92,000 THB.
Conical Burr 63 – 68 mm. 62,250 THB. 65,000 – 82,100 THB.
Conical Burr 71 mm. 75,000 – 106,800 THB.

          

          ส่วนทาง THE ALISONS เราก็มีเครื่องบดกาแฟ จัดจำหน่ายหลายแบรนด์ ท่านสามารถคลิกเลือกดูใน Link นี้ได้เลยครับ https://www.thealisonscnx.com/product-category/coffee-grinder/

——————
ทักทายพวกเราได้ที่ :
Line @ : https://line.me/R/ti/p/%40thealisons
Instagram : https://www.instagram.com/the_alisons/
Website : https://www.thealisonscnx.com/

——————

source :  https://www.home-barista.com/